Site Logotype
About Hair

10 สาเหตุผมร่วง ที่คุณอาจไม่เคยรู้

ผมร่วงเป็นปัญหาที่หลายคนประสบ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย บางครั้งเป็นเรื่องชั่วคราว แต่ในบางกรณีก็สะท้อนถึงการเสื่อมสภาพหรือความไม่สมดุลภายในร่างกาย หากคุณกำลังสงสัยว่า “ทำไมผมฉันร่วงเยอะขึ้น?” ลองมาดู 10 สาเหตุผมร่วง หลักที่อาจเป็นคำตอบสำหรับคุณ และแนวทางที่ควรทำเพื่อฟื้นฟูเส้นผมอย่างจริงจัง

1. ภาวะผมร่วงเฉียบพลัน (Telogen Effluvium)

ส่วนใหญ่ภาวะผมร่วงเฉียบพลันคือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด หากจู่ๆเริ่มรู้สึกว่าผมร่วงเยอะมากผิดปกติ ให้ลองนึกย้อนกลับไปเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ว่าได้เจอเหตุการณ์เหล่านี้หรือไม่

  • เจ็บป่วยหนัก: มีไข้สูง ติดเชื้อรุนแรง (เช่น โควิด-19) หรือเข้ารับการผ่าตัด
  • เครียดจัด: เผชิญกับความกดดันทางจิตใจอย่างรุนแรง
  • คลอดบุตร: การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอย่างรวดเร็ว
  • ลดน้ำหนักอย่างหักโหม

เหตุการณ์เหล่านี้เปรียบเสมือน “cú sốc” (Trigger) ที่ทำให้ร่างกายสั่งให้เส้นผมจำนวนมาก “หยุดโต” และเข้าสู่ระยะพัก (Telogen) พร้อมๆกัน จากนั้นผมเหล่านั้นจะค่อยๆหลุดร่วงออกมาในอีก 2-3 เดือนต่อมา ภาวะนี้มักจะดีขึ้นได้เองเมื่อร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ

2. การขาด “ธาตุเหล็ก”

คุณอาจจะทานอาหารครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผู้หญิงในวัยรุ่นหรือวัยหมดประจำเดือนมีความเสี่ยงสูงที่จะขาดธาตุเหล็ก (Iron Deficiency) เนื่องจากการสูญเสียเลือดประจำเดือน ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบินที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ รวมถึงเซลล์รากผมด้วย เมื่อรากผมขาดออกซิเจน มันก็จะอ่อนแอและหลุดร่วงได้ง่าย

3. การขาด “โปรตีน” ในมื้ออาหาร

จำไว้เสมอว่า เส้นผม = โปรตีน (เคราติน) หากคุณทานโปรตีนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ร่างกายจะสงวนโปรตีนไว้สำหรับอวัยวะที่สำคัญก่อน และลดการส่งโปรตีนไปสร้างเส้นผม ทำให้นอกจากผมจะร่วงแล้ว ผมที่งอกใหม่ยังเส้นเล็กและอ่อนแออีกด้วย

4. การรวบผมที่ “แน่น” เกินไป (Traction Alopecia)

ทรงผมสุดชิคอย่างการมัดหางม้าตึงเปรี๊ยะ การถักเปียตะขาบ หรือการเกล้าผมดังโงะแน่นๆ อาจกำลังทำร้ายรากผมของคุณโดยไม่รู้ตัว การดึงรั้งเส้นผมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้รากผมอ่อนแอ อักเสบ และหลุดร่วงไปในที่สุด โดยมักจะเริ่มเห็นผมบางลงบริเวณกรอบหน้าและไรผมก่อน

5. การใช้ “ความร้อน” และ “สารเคมี” ซ้ำซ้อน

ผมร่วงในกรณีนี้อาจไม่ใช่การร่วงจาก “ราก” แต่เป็นการ “ขาด” จากกลางเส้น การใช้ความร้อนสูงจากการหนีบหรือไดร์ผมทุกวัน และการทำเคมีรุนแรง (เช่น ฟอกสี หรือ ยืดผม) ซ้ำๆจะเข้าไปทำลายโครงสร้างโปรตีนเคราติน ทำให้เส้นผมเปราะบางเหมือนฟางและขาดออกจากกันได้ง่ายๆ

6. พฤติกรรมการ “สระผม” ที่ผิดวิธี

การสระผมบ่อยเกินไป การใช้แชมพูที่รุนแรง หรือการเกาหนังศีรษะแรงๆ ไม่ได้ทำให้ผมร่วงจากรากโดยตรง แต่มันทำลาย “เกราะป้องกัน” ของหนังศีรษะ ทำให้หนังศีรษะแห้ง อักเสบ และระคายเคือง ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีต่อการเจริญเติบโตของเส้นผมและอาจนำไปสู่ปัญหาผมร่วงในระยะยาวได้

7. โรคผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia Areata)

หากคุณสังเกตเห็นผมร่วงเป็นวงกลมขนาดเท่าเหรียญบาท และผิวหนังบริเวณนั้นเรียบเนียนผิดปกติ นี่อาจเป็นสัญญาณของโรค Alopecia Areata ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติและหันมาโจมตีรากผมของตัวเอง

8. ปัญหา “ไทรอยด์”

ต่อมไทรอยด์ที่คอของเราทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมระบบเผาผลาญของร่างกายทั้งหมด รวมถึงวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผมด้วย ทั้งภาวะ ไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism) และ ไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism) ล้วนส่งผลให้วงจรผมผิดเพี้ยนและทำให้ผมร่วงทั่วทั้งศีรษะได้

9. ผมร่วงจาก “ยา” ที่คุณกำลังทาน

ยาบางชนิดมีผลข้างเคียงที่ทำให้ผมร่วงได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามไป ตัวอย่างยาที่พบได้บ่อย เช่น

  • ยาคุมกำเนิดบางชนิด (และการหยุดยา)
  • ยารักษาสิวบางกลุ่ม (ที่มีอนุพันธ์ของวิตามินเอสูง)
  • ยาลดความดันโลหิต
  • ยาต้านซึมเศร้า

10. การเปลี่ยนแปลงของ “ฮอร์โมน” ในวัยหมดประจำเดือน

เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน หรือ วัยทอง (Menopause) ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง ในขณะที่ฮอร์โมนเพศชาย (Androgens) จะเด่นขึ้น ซึ่งฮอร์โมนนี้สามารถทำให้รากผมฝ่อและมีขนาดเล็กลง ส่งผลให้ผมโดยรวมบางลงอย่างเห็นได้ชัด

🔍 แนวทางรับมือเมื่อผมร่วงเยอะ

  • ตรวจสุขภาพเบื้องต้น เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์ เหล็ก วิตามิน D
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายผม เช่น การหนีบร้อน มัดแน่น เคมีจัด
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับหนังศีรษะและสภาพผม
  • นวดหนังศีรษะประจำเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อผมร่วงมากผิดปกติหรือมีหย่อม

สาเหตุผมร่วง มีหลากหลายและซับซ้อน การทำความเข้าใจต้นตอที่แท้จริงคือขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการรับมือ หากคุณลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือสงสัยว่าอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องต่อไปนะคะ


แหล่งอ้างอิง

Share