Site Logotype
Haircare

สระผมยังไงให้ ผมหอม เคล็ดลับการสระผมอย่างถูกวิธี

“ผมหอม” เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่หลายคนอยากมี ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมสะอาด หอมอ่อน ๆ แบบธรรมชาติ หรือหอมติดทนนานจนใคร ๆ ก็อยากเข้าใกล้ แต่รู้หรือไม่ว่า ความหอมของเส้นผมไม่ได้มาจากแค่แชมพูอย่างเดียว? การสระผมอย่างถูกวิธี และการดูแลหนังศีรษะให้สะอาด ก็มีผลอย่างมากต่อการคงความหอมของผม

บทความนี้จะพาคุณไปค้นพบเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะเปลี่ยนการสระผมให้กลายเป็นการปรนนิบัติผมให้ หอม สะอาด และสุขภาพดี

“ผมหอม” สำคัญยังไง

กลิ่นผมหอมไม่ใช่แค่เรื่องของกลิ่นเท่านั้น แต่ยังบ่งบอกถึงสุขภาพเส้นผมและหนังศีรษะที่สะอาด ไม่มีสิ่งตกค้างจากเหงื่อ ฝุ่น หรือสารเคมี การที่ผมหอมยังสามารถ

  • เพิ่มความมั่นใจในชีวิตประจำวัน
  • ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
  • เชื่อมโยงกับความทรงจำและความประทับใจในทางจิตวิทยา

ทำไมสระผมแล้วผมยังเหม็น? ต้นตอของปัญหาที่ต้องรู้

ก่อนจะไปดูวิธีแก้ เราต้องเข้าใจสาเหตุที่ทำให้ ผมหอม ของเราหายไปอย่างรวดเร็วก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มักมาจาก 3 ปัจจัยหลักนี้

  1. การสะสมบนหนังศีรษะ: หนังศีรษะของเราผลิตน้ำมัน (Sebum) ตลอดเวลา เมื่อน้ำมันนี้ผสมกับเหงื่อ สิ่งสกปรก และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว จะเกิดการสะสมและกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรียชั้นดี ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของกลิ่นไม่พึงประสงค์
  2. สระผมไม่สะอาดพอ: หลายคนเน้นสระที่ “เส้นผม” แต่ลืมให้ความสำคัญกับ “หนังศีรษะ” ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของความมันและกลิ่น ทำให้สิ่งสกปรกยังคงตกค้างอยู่
  3. ความอับชื้น: การเป่าผมไม่แห้งสนิท โดยเฉพาะบริเวณโคนผมและหนังศีรษะ จะก่อให้เกิดการอับชื้น ความชื้นที่ถูกขังไว้จะทำให้เกิดกลิ่นอับคล้ายผ้าที่ไม่แห้ง ซึ่งเป็นกลิ่นที่กำจัดได้ยากมาก

ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อความหอม

  • ความร้อน (Heat): ความร้อนคือ “ศัตรูตัวฉกาจ” ของความหอม เพราะมันเร่งการระเหยของโมเลกุลน้ำหอมให้เร็วขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นความร้อนจาก แสงแดด หรือ อุปกรณ์จัดแต่งทรงผม (ไดร์ หรือ ที่หนีบผม)
  • มลภาวะและกลิ่นไม่พึงประสงค์ (Pollution & External Odors): เส้นผม โดยเฉพาะผมที่พรุนสูง (ผมฟอก) ทำหน้าที่เหมือน “แม่เหล็กดูดกลิ่น” รอบตัว หากคุณไปอยู่ในที่ที่มีกลิ่นควันบุหรี่ ควันรถ หรือกลิ่นอาหาร (เช่น ร้านหมูกระทะ) กลิ่นเหล่านี้จะเข้าไปเกาะติดได้ง่ายและกลบกลิ่นหอมเดิมของคุณจนหมดสิ้น
  • ลม (Wind): ลมที่พัดแรงสามารถพัดพาโมเลกุลของกลิ่นหอมให้กระจายและจางหายไปจากเส้นผมได้เร็วยิ่งขึ้น

Step-by-Step: 5 ขั้นตอนสู่การมี “ผมหอม” ติดทนนาน

Step 1– แปรงผมก่อนสระ (The Prep)

ก่อนทำให้ผมเปียก ให้ใช้หวีแปรงผมเบาๆ จากโคนจรดปลาย เพื่อสางผมที่พันกันและขจัดสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่บนเส้นผมออกไปก่อน การทำเช่นนี้จะช่วยให้แชมพูทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและทำความสะอาดได้ล้ำลึกยิ่งขึ้น

Step 2 – สระครั้งที่ 1 ล้างความมันและสิ่งสกปรก (The Cleanse)

การสระผม 2 ครั้งคือหัวใจสำคัญของการมีผมหอม โดยเวลาสระผมใช้ “น้ำอุ่นเล็กน้อยหรือน้ำอุณหภูมิปกติ” เพื่อเปิดเกล็ดผมและรูขุมขนได้อย่างพอดี พร้อมรับการทำความสะอาด

  • ล้างผมด้วยน้ำสะอาดให้เปียกชุ่มทั้งศีรษะ
  • บีบแชมพูในปริมาณพอเหมาะ ถูบนฝ่ามือให้เกิดฟอง อย่าบีบแชมพูลงบนศีรษะโดยตรง
  • เริ่มลงแชมพู: แตะฟองแชมพูลงบน 4 จุดหลักของศีรษะ (ด้านหน้าเหนือหน้าผาก ด้านข้างเหนือหูทั้งสองข้าง และกลางกระหม่อม) เพื่อให้กระจายตัวได้ดี
  • เทคนิคการนวด (เน้นหนังศรีษะ)
    • ใช้แค่ปลายนิ้ว (ไม่ใช่เล็บ) นวดวนเบาๆให้ทั่ว เพื่อขจัดความมันและสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่
    • โซนหน้าและข้าง: ใช้นิ้วมือทั้งหมดนวดวนเป็นวงกลมเล็กๆ จากไรผมกรอบหน้าเข้าไปหาด้านบนศีรษะ ให้ความสำคัญกับบริเวณหลังหูเป็นพิเศษ
    • โซนบนและท้ายทอย (จุดสำคัญ ⭐️): ประสานมือไว้ที่ท้ายทอย จากนั้นใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างนวดวนขึ้นมาจากต้นคอมายังกลางกระหม่อม ส่วนนิ้วที่เหลือก็ช่วยนวดบริเวณด้านหลังศีรษะไปพร้อมกัน ท่านี้จะช่วยให้คุณทำความสะอาดบริเวณท้ายทอยที่มักถูกลืมได้อย่างทั่วถึง
  • ล้างออกให้สะอาด (ไม่ต้องกังวลว่าฟองจะโดนปลายผมไม่พอ เพราะตอนล้างออก ฟองจะไหลผ่านและทำความสะอาดเส้นผมเอง)

Step 3 – สระครั้งที่ 2 เติมความหอมและบำรุง (The Perfume)

หลังจากล้างสิ่งสกปรกออกไปในรอบแรกแล้ว รอบที่สองนี้แหละคือช่วงเวลาที่เส้นผมและหนังศีรษะที่สะอาดพร้อมจะรับกลิ่นหอมและการบำรุงอย่างเต็มที่

  • ใช้แชมพูในปริมาณที่น้อยลงกว่าครั้งแรก (ประมาณครึ่งหนึ่ง)
  • เทคนิคการนวด (ทั่วถึงทั้งหนังศีรษะและเส้นผม)
    • นวดเบาๆ ให้ทั่วทั้งหนังศีรษะอีกครั้ง คุณจะสังเกตว่าครั้งนี้ฟองจะเยอะ นุ่ม และฟูกว่าเดิมมาก
    • นวดท่าเดิม หรือ สำหรับคนผมหนา ลองใช้ “ท่าก้มหัวสระ” (Inversion Wash) โดยก้มศีรษะลงแล้วเริ่มนวดจากท้ายทอยขึ้นมายังด้านหน้า จะช่วยให้คุณทำความสะอาดบริเวณด้านหลังได้อย่างล้ำลึกมากยิ่งขึ้น
  • ทิ้งฟองไว้ประมาณ 1-2 นาที เพื่อให้กลิ่นหอมและสารบำรุงได้ซึมซาบเข้าสู่เส้นผม
  • ล้างออกให้สะอาดหมดจดจนรู้สึกว่าไม่มีความลื่นของแชมพูเหลืออยู่

Step 4 – ครีมนวด หรือ ทรีตเมนต์ เพื่อล็อคความหอมและปิดเกล็ดผม

  • บีบน้ำออกจากเส้นผมเบาๆ
  • ชโลมครีมนวดหรือทรีตเมนต์ตั้งแต่ ช่วงกลางผมไปจนถึงปลายผม หลีกเลี่ยงการโดนหนังศีรษะโดยตรงเพื่อไม่ให้โคนผมมันเร็ว
  • ใช้นิ้วมือสางผมเบาๆ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์กระจายตัวอย่างทั่วถึง ทิ้งไว้ประมาน 3-5 นาที
  • ล้างออกด้วย “น้ำอุณหภูมิปกติหรือน้ำเย็น” เพื่อช่วยปิดเกล็ดผม ซึ่งจะช่วยล็อคความชุ่มชื้นและกลิ่นหอมไว้ภายในเส้นผม ทำให้ผมดูเงางามขึ้นด้วย

Step 5 – การเป่าผม ขั้นตอนชี้ชะตาความหอม

  • หลังสระผม ให้ใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ “ซับ” น้ำออกเบาๆ ห้ามขยี้ผมแรงๆ เด็ดขาด
  • เป่าที่ “โคนผมและหนังศีรษะ” ให้แห้งสนิทก่อนเป็นอันดับแรก นี่คือกฎเหล็กที่จะป้องกันกลิ่นเหม็นอับได้ 100%
  • เมื่อโคนผมแห้งแล้ว จึงค่อยเป่าไล่ลงมาที่ปลายผมจนแห้งสนิททั้งศีรษะ
สระผม ผมหอม

ผมแบบไหนที่เก็บ “ความหอม” ได้ดีกว่ากัน?

เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมเพื่อนบางคนใช้แชมพูตัวเดียวกัน แต่ผมกลับหอมติดทนนานกว่าเรา? ความลับนั้นซ่อนอยู่ใน “สภาพเส้นผม” ของเรานี่เอง ซึ่งมีปัจจัยหลักๆ ที่เป็นตัวตัดสิน ดังนี้

1. ผมที่ไม่เคยทำเคมี (Virgin Hair) เก็บผมหอมได้ดีกว่า

ผมที่ไม่เคยผ่านการทำเคมีสามารถเก็บกลิ่นหอมได้ดีและยาวนานกว่าผมที่ผ่านการฟอกสี (Bleached Hair) อย่างชัดเจน

  • เหตุผลทางวิทยาศาสตร์: ผมที่ไม่เคยผ่านการทำเคมี (Virgin Hair) จะมี “เกราะป้องกันไขมันตามธรรมชาติ” (Natural Lipid Layer หรือ 18-MEA) เคลือบอยู่ที่ผิวเส้นผม ซึ่งทำหน้าที่เหมือน “แม่เหล็ก” ที่ช่วยยึดเกาะและตรึงโมเลกุลของกลิ่นหอมไว้ ทำให้กลิ่นระเหยช้าลง และอยู่บนเส้นผมได้นานขึ้น
  • ในทางกลับกัน ผมฟอกได้สูญเสียเกราะป้องกันนี้ไปจนหมดสิ้น แม้ผมจะมีความพรุนสูง (High Porosity Hair) ทำให้ดูดซับกลิ่นได้ดีในตอนแรก แต่เมื่อไม่มีชั้นไขมันเป็นตัวยึดเกาะ กลิ่นก็จะระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว

2. “ผมหนาและผมหยิก” ได้เปรียบกว่า

เหตุผลทางกายภาพ

  • ผมหนา (High Density): มี “พื้นที่ผิวรวม” (Total Surface Area) มากกว่า ทำให้มีพื้นที่ให้โมเลกุลของกลิ่นเกาะติดได้เยอะกว่า
  • ผมหยิก (Curly Hair): โครงสร้างที่เป็นลอนเกลียวทำหน้าที่เหมือน “กับดัก” ที่ช่วยกักเก็บโมเลกุลของกลิ่นไว้ภายในกลุ่มผมได้ดีกว่าผมตรงที่ทิ้งตัวอย่างอิสระ

3. “ความสะอาด” คือพื้นฐานของความหอม

เส้นผมที่สะอาดปราศจากความมันและผลิตภัณฑ์สะสม (Build-up) จะเป็นเหมือน “ผ้าใบที่ขาวสะอาด” พร้อมให้กลิ่นหอมจากแชมพูและแฮร์มิสยึดเกาะได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 

  • หากผมหรือหนังศรีษะมีความมัน: น้ำมัน (Sebum) เมื่อผสมกับเหงื่อและแบคทีเรียบนหนังศีรษะ จะสร้างกลิ่นเฉพาะตัวที่เรียกว่า “กลิ่นหนังศีรษะมัน” ซึ่งสามารถ “กลบ” หรือ “บิดเบือน” กลิ่นหอมจากผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้ได้ 
  • หากหนังศีรษะสะอาด หรือ สมดุล: น้ำมันในปริมาณที่พอเหมาะ สามารถทำหน้าที่เป็น “ตัวช่วยยึดเกาะ” (Fixative) ให้กับกลิ่นหอมได้เล็กน้อย คล้ายกับหลักการของ Lipid Layer

คนที่โชคดีที่สุดในเรื่องความหอมคือคนที่มี “ผมหนา ไม่เคยผ่านการทำเคมี และดูแลความสะอาดเป็นอย่างดี” แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ สำหรับคนที่ผมเส้นเล็กหรือผ่านการทำสี หรือ ฟอก เราสามารถ “สร้างเกราะป้องกันเทียม” ขึ้นมาได้ด้วยการใช้ ลีฟออนคอนดิชันเนอร์ (Leave-on Conditioner) หรือออยล์บางเบาหลังสระผม เพื่อช่วยล็อคกลิ่นหอมให้อยู่กับเราได้นานขึ้นนั่นเองค่ะ

เคล็ดลับพิเศษเพื่อผมหอมยิ่งขึ้น

  • สระผมให้สะอาดถึงหนังศีรษะ: ใช้เทคนิค “สระ 2 ครั้ง” เสมอ ครั้งแรกเพื่อล้างความมัน ครั้งที่สองเพื่อเติมความหอม
  • เป่าโคนผมให้แห้งสนิท: เป็นข้อที่สำคัญมาก การเป่าโคนผมให้แห้งก่อนเป็นอันดับแรกคือวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันกลิ่นเหม็นอับ
  • ผมสุขภาพดีเก็บกลิ่นได้ดีกว่า: ผมที่ไม่เคยผ่านการทำเคมี (Virgin Hair) จะมีเกราะป้องกันตามธรรมชาติที่ช่วย “ล็อค” กลิ่นหอมได้ยาวนานที่สุด
  • ผมหนาได้เปรียบ: คนที่ผมหนาและผมหยิกจะมีพื้นที่ผิวและ “กับดัก” ให้กลิ่นเกาะติดได้ดีกว่าคนผมเส้นเล็กและผมตรง
  • ใช้ “ตัวช่วยล็อคกลิ่น”: หลังสระผม การใช้ลีฟออนคอนดิชันเนอร์ (Leave-on Conditioner) หรือออยล์บางเบา จะเป็นการสร้างฟิล์มเคลือบผม ช่วยกักเก็บทั้งความชุ่มชื้นและกลิ่นหอมให้อยู่ได้นานขึ้น
  • เลือกผลิตภัณฑ์ให้ฉลาด: มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นฐาน (Base Notes) หนักๆ เช่น วานิลลา มัสก์ หรือแซนดัลวู้ด เพราะกลิ่นเหล่านี้จะติดทนนานที่สุด
  • เลเยอร์กลิ่นและพกตัวช่วย: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกลิ่นโทนเดียวกัน และพกแฮร์มิส (Hair Mist) ติดตัวไว้เพื่อเติมความหอมสดชื่นระหว่างวัน

การมี “ผมหอม” ไม่ใช่แค่เรื่องของกลิ่นหอมจากผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่คือผลลัพธ์ของการดูแลผมอย่างถูกวิธี ตั้งแต่การเลือกแชมพู การนวดหนังศีรษะ การล้างผม ไปจนถึงการดูแลหลังสระอย่างต่อเนื่อง

ลองเปลี่ยนวิธีสระผมแบบเดิม ๆ แล้วคุณจะรู้ว่า “ผมหอม” ติดทนนานนั้นเริ่มต้นจากการใส่ใจแค่เพียงเล็กน้อยในทุกวัน

Hair Scent Flower ผมหอม ดอกไม้

แหล่งอ้างอิง

  • Yamamoto, H., Shimosato, I., & Okada, M. (1999). Study of fragrance materials on controlling head‑odor formation. Perfumer & Flavorist.
  • Churchill, A., Meyners, M., Griffiths, L. & Bailey, P. (2009). The cross-modal effect of fragrance in shampoo: Modifying the perceived feel of both product and hair during and after washing. Food Quality and Preference. 20(4) 320-328.
  • American Chemical Society. (2017). Longer-lasting fragrance is just a shampoo away, thanks to peptides. ScienceDaily. Retrieved from www.sciencedaily.com/releases/2017/07/170726102857.htm
  • Silva, A.L.A.M. (2015) Chemist evaluates shampoo fragrance retention. Journal of Unicamp. Retrieved from https://unicamp.br/en/unicamp/ju/635/quimico-avalia-retencao-de-fragrancias-de-xampus
  •  Trüeb, R. M. (2007). The value of hair cosmetics and pharmaceuticals. Dermatology. 215(3), 271–274.
  • D’Souza, P., & Rathi, S. K. (2015). Shampoo and Conditioners: What a Dermatologist Should Know?. Indian journal of dermatology. doi: 10.4103/0019-5154.156355
  • Park, H. K., Ha, M. H., Park, S. G., Kim, M. N., Kim, B. J., & Kim, W. (2011). Characterization of the fungal microbiota (mycobiome) in healthy and dandruff-afflicted human scalps. PloS one.
  • Gavazzoni Dias, M. F. R. (2015). Hair Cosmetics: An Overview. International Journal of Trichology. 7(1):2–15. doi: 10.4103/0974-7753.153450
  • Schleehauf, B. (2024). Tips for Healthy Hair. American Academy of Dermatology Assosiation. Retrieved from https://www.aad.org/public/everyday-care/hair-scalp-care/hair/healthy-hair-tips

Share