Site Logotype
About Hair

“ทรีตเมนต์ผม” แบบไหนดี? ฟื้นฟูผมให้ตรงกับปัญหาผมของคุณ

เส้นผมที่เงางามและสุขภาพดีคือหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของความมั่นใจ แต่เมื่อเส้นผมต้องเผชิญกับความร้อน สารเคมี มลภาวะ หรือแม้แต่ความเครียดในชีวิตประจำวัน ปัญหาผมเสียก็เกิดขึ้นได้ง่าย และการดูแลเพียงแค่การสระหรือใช้ครีมนวดอาจไม่เพียงพอ “ทรีตเมนต์ผม” จึงกลายมาเป็นผู้ช่วยสำคัญในการฟื้นฟูเส้นผมให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

แล้วแบบไหนที่เหมาะกับผมของคุณ? บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจสภาพผมของตัวเอง และเลือกทรีตเมนต์ได้อย่างตรงจุด

เข้าใจก่อนว่าผมคุณกำลังเจอปัญหาอะไรอยู่?

ก่อนจะเลือกทรีตเมนต์ ควรประเมินสภาพผมของตัวเองว่ากำลังประสบกับปัญหาแบบไหน

ผมแห้ง ชี้ฟู ขาดน้ำหนัก ต้องการทรีตเมนต์ผม

1 – ผมแห้งเสีย ชี้ฟู ขาดน้ำหนัก

  • อาการ: ผมดูหมองคล้ำ ไม่เงางาม สัมผัสแล้วสากมือ จัดทรงยาก และมักจะชี้ฟูเมื่อเจอความชื้น
  • สาเหตุ: เกล็ดผมชั้นนอก (Cuticle) เสียหายหรือเปิดออก ทำให้สูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย

2 – ผมเปราะขาดง่าย เป็นวุ้น ปลายช็อต

  • อาการ: ผมอ่อนแอมาก แค่ดึงเบาๆ ก็ขาดติดมือออกมา ปลายผมดูแห้งกรอบเหมือนไม้กวาด หรือในกรณีที่เสียหนักๆ อาจมีสภาพเป็นวุ้นเมื่อเปียก
  • สาเหตุ: แกนผมชั้นใน (Cortex) ถูกทำลายอย่างรุนแรงจากการทำเคมีซ้ำซ้อน โดยเฉพาะการฟอกสีผม

3 – หนังศีรษะอ่อนแอ ผมร่วงผิดปกติ

  • อาการ: ผมร่วงเยอะกว่า 100 เส้นต่อวัน หนังศีรษะมันเยิ้ม คัน หรือมีรังแค
  • สาเหตุ: ปัญหาเกิดที่รากผมและสภาพแวดล้อมของหนังศีรษะสุขภาพหนังศีรษะไม่สมดุล หรือรากผมอ่อนแอ

4 – ผมดูสุขภาพดี แต่ต้องการบำรุงและป้องกัน

  • อาการ: ไม่มีปัญหาที่ชัดเจน แต่อยากให้ผมนุ่มสวยและแข็งแรงอยู่เสมอ
  • สาเหตุ: เป็นการดูแลเชิงป้องกัน (Preventive Care)

ประเภทของ ทรีตเมนต์ผม ในปัจจุบัน

แต่ละทรีตเมนต์มีคุณสมบัติที่แตกต่าง และเหมาะกับปัญหาผมที่ไม่เหมือนกัน

ทรีตเมนต์เติมความชุ่มชื้นและเคลือบเกล็ดผม (Hydrating & Smoothing Treatments)

  • เหมาะกับใคร?: กลุ่มที่ 1 – ผมแห้งเสีย ชี้ฟู
  • ทำงานอย่างไร?: เป็นทรีตเมนต์พื้นฐานที่เน้นการเติมสารให้ความชุ่มชื้น (เช่น Hyaluronic Acid, Glycerin, Panthenol) และใช้สารเคลือบ (เช่น Silicone, Natural Oils) เพื่อเข้าไป “ซีล” เกล็ดผมที่เปิดอยู่ให้เรียบสนิท ช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นและทำให้ผมนุ่มลื่น เงางามขึ้นทันทีหลังทำ
  • ตัวอย่าง: สปาผม ทรีตเมนต์อาร์แกนออยล์ (Argan Oil) หรือ มาส์กผมทั่วไปตามท้องตลาด

ทรีตเมนต์เติมโปรตีนและคอลลาเจน (Protein & Collagen Treatments)

  • เหมาะกับใคร?:
    • โปรตีน: กลุ่มที่ 2 – เหมาะสำหรับผมที่ ขาดความแข็งแรงและยืดหยุ่น อย่างชัดเจน (ผมยืดแล้วไม่หดกลับ เปราะขาดง่าย) เป็นกลุ่มที่ 2 ในระดับเริ่มต้นถึงปานกลาง
    • คอลลาเจน: กลุ่มที่ 1 – ผมแห้งเสีย ชี้ฟู ขาดน้ำหนัก และ กลุ่มที่ 4 – ผมดูสุขภาพดี แต่ต้องการบำรุงและป้องกัน 
  • ทำงานอย่างไร?:
    • ทรีตเมนต์โปรตีน (Protein Treatment): ลองนึกภาพเส้นผมที่มีรูพรุนเล็กๆ ทรีตเมนต์โปรตีน (เช่น Hydrolyzed Wheat Protein, Silk Protein) ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก จะสามารถแทรกซึมเข้าไป “อุดฟันผุ” หรือ “เติมเต็ม” ช่องว่างเหล่านั้นเป็นการชั่วคราว ช่วยเสริมโครงสร้างให้เส้นผมกลับมาแข็งแรงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
    • ทรีตเมนต์คอลลาเจน (Collagen Treatment): คอลลาเจนจะทำหน้าที่คล้ายฟิล์มบางๆ ที่เข้าไป “เคลือบและให้ความชุ่มชื้น” แก่เส้นผมจากภายนอก ช่วยลดความหยาบกระด้าง ทำให้ผมนุ่มลื่น ดูมีน้ำหนัก และเพิ่มประกายความเงางาม

คำเตือน: การทำทรีตเมนต์โปรตีนบ่อยเกินไปโดยที่ผมไม่ได้ต้องการ อาจทำให้เกิดภาวะ “โปรตีนเกิน” (Protein Overload) ซึ่งจะทำให้ผมแข็งกระด้างและเปราะขาดง่ายกว่าเดิมได้ ควรทำตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ (โดยทั่วไปประมาณเดือนละ 1-2 ครั้ง)

เคราติน ทรีตเมนต์ (Keratin Treatments)

  • เหมาะกับใคร?: กลุ่มที่ 1 – ที่มีปัญหาผมชี้ฟูมากเป็นพิเศษ และต้องการความเรียบตรงแบบเร่งด่วน
  • ทำงานอย่างไร?: เป็นการ “อัด” โปรตีนเคราตินเหลวเข้าไปเคลือบและเติมเต็มช่องว่างบนเกล็ดผม จากนั้นใช้ความร้อนสูงจากที่หนีบผมรีดทับเพื่อล็อคเคราตินไว้ ผลลัพธ์คือผมที่เรียบตรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ลดการชี้ฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพนานหลายเดือน
  • ข้อควรรู้: เคราตินทรีตเมนต์ไม่ใช่การซ่อมแซมโครงสร้างจากภายใน แต่เป็นการ “เคลือบ” ให้ผมเรียบสวยจากภายนอก

ทรีตเมนต์ซ่อมแซมแกนผม (Bond-Building Treatments) – เทคโนโลยีแห่งยุค✨

นี่คือ Game Changer ของวงการผมเสียอย่างแท้จริง

  • เหมาะกับใคร?: กลุ่มที่ 2 – ผมเปราะขาดง่าย เป็นวุ้นจากการฟอกสี โดยเฉพาะ
  • ทำงานอย่างไร?: ทรีตเมนต์กลุ่มนี้ทำงานลึกถึงระดับโมเลกุลในแกนผมชั้นใน (Cortex) เพื่อเข้าไป “ซ่อมแซมและเชื่อมต่อพันธะไดซัลไฟด์ (Disulfide Bonds)” ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักที่ทำให้ผมแข็งแรง แต่ถูกทำลายไปจากการทำเคมี เป็นการฟื้นฟูโครงสร้างผมจาก “ภายใน” อย่างแท้จริง

ตัวอย่าง: Olaplex, K18 หรือ ทรีตเมนต์ที่ระบุว่าช่วยซ่อมแซมแกนผม

ทรีตเมนต์ดีท็อกซ์และปรับสมดุลหนังศีรษะ (Scalp Treatments)

  • เหมาะกับใคร?: กลุ่มที่ 3 – หนังศีรษะอ่อนแอ ผมร่วง
  • ทำงานอย่างไร?: เน้นดูแลที่ต้นตอของสุขภาพผม นั่นคือหนังศีรษะ โดยจะทำความสะอาดรูขุมขนอย่างล้ำลึก (เช่น การใช้ Clay Mask, Salicylic Acid) ลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรีย และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดให้รากผมแข็งแรงและเส้นผมงอกใหม่ได้อย่างมีคุณภาพ
  • ตัวอย่าง: สปาผมสมุนไพร (Herbal Detox Hair Spa) หรือ ทรีตเมนต์ดีท็อกซ์หนังศีรษะ
ทรีตเมนต์ผม เซรั่มผม

เลือกทรีตเมนต์ผมให้เหมาะกับปัญหาผมของคุณ

ปัญหาผมทรีตเมนต์แนะนำทำงานอย่างไร?ความถี่ที่ควรทำ
กลุ่มที่ 1 – ผมแห้ง ชี้ฟู ขาดความนุ่ม ขาดน้ำหนักทรีตเมนต์เติมความชุ่มชื้น / คอลลาเจน / เคราตินเคลือบเกล็ดผม ลดการชี้ฟูสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
กลุ่มที่ 2 (ระดับเริ่มต้น) – ผมขาดความยืดหยุ่น ลีบแบนทรีตเมนต์โปรตีน / Bond Builderเพิ่มความแข็งแรงของเส้นผม / ซ่อมแซมพันธะในแกนผมเดือนละ 1-2 ครั้ง
กลุ่มที่ 2 (ระดับรุนแรง) – ผมเสียจากเคมี การฟอกหรือทำสี เป็นวุ้น ปลายช็อตBond Builder ซ่อมแซมพันธะในแกนผมเดือนละ 1-2 ครั้ง
กลุ่มที่ 3 – หนังศรีษะมัน มีรังแค ผมร่วงทรีตเมนต์หนังศีรษะ (Scalp Treatment)ทำความสะอาดรูขุมขน ปรับสมดุล2 ครั้งต่อเดือน
กลุ่มที่ 4 – ผมดูดีอยู่แล้ว อยากบำรุงทรีตเมนต์คอลลาเจน / สปาผม / ทรีตเมนต์เติมความชุ่มชื้นบำรุงเชิงป้องกันเดือนละ 1-2 ครั้ง

ทรีตเมนต์ที่ร้าน VS ดูแลเองที่บ้าน

  • ทรีตเมนต์ที่ร้าน: เหมาะสำหรับคนที่ต้องการดูแลอย่างล้ำลึก ใช้ผลิตภัณฑ์เข้มข้น และได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ
  • ทรีตเมนต์ DIY: ใช้ผลิตภัณฑ์ทั่วไปที่มีขายตามท้องตลาดหรือสูตรธรรมชาติ เช่น มะพร้าว น้ำผึ้ง อะโวคาโด
  • การเลือกแบบไหนดี? ขึ้นอยู่กับงบประมาณ ความสะดวก และสภาพผม ถ้าผมเสียมาก ควรเริ่มที่ร้านก่อนแล้วค่อยดูแลต่อที่บ้าน

คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผมสวยระยะยาว

  • หมั่นเล็มปลายผมทุก 6–8 สัปดาห์ เพื่อลดผมแตกปลาย
  • หลีกเลี่ยงความร้อนจากอุปกรณ์จัดแต่งทรงโดยไม่ใช้ผลิตภัณฑ์กันความร้อน
  • ทานอาหารที่มีโปรตีน วิตามินบี ไบโอติน และดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอและจัดการความเครียด เพื่อสุขภาพผมที่ดีจากภายใน

การเลือกทรีตเมนต์ที่ถูกต้องไม่ใช่การเลือกสิ่งที่ “แพงที่สุด” หรือ “ดังที่สุด” แต่คือการเลือกสิ่งที่ “ตอบโจทย์ปัญหาผม” ของเราได้ตรงจุดที่สุด การเข้าใจสภาพเส้นผมของตัวเองและกลไกของทรีตเมนต์แต่ละประเภท คือกุญแจสำคัญที่จะนำคุณไปสู่เส้นผมที่แข็งแรง สุขภาพดี และสวยงามอย่างยั่งยืน

หากคุณยังไม่แน่ใจว่าสภาพผมของคุณเป็นแบบไหนและต้องการทรีตเมนต์อะไร อย่าลังเลที่จะเข้ามาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราที่ Blue Salon & Spa เพื่อรับการวิเคราะห์สภาพเส้นผมและคำแนะนำเฉพาะบุคคลได้ฟรี

นวดศรีษะ บำรุง ทรีตเมนต์ผม

FAQ ถาม-ตอบ ข้อสงสัยยอดฮิตเกี่ยวกับ ทรีตเมนต์ผม

Q: ทำทรีตเมนต์บ่อยแค่ไหนดี?

A: ทรีตเมนต์เติมความชุ่มชื้นสามารถทำได้ทุกสัปดาห์ เคราตินทุก 3-5 เดือน Bond-Builders สามารถทำได้ทุกครั้งที่ทำเคมี หรือบำรุงเข้มข้นเดือนละครั้ง ทรีตเมนต์หนังศีรษะทำได้เดือนละ 1-2 ครั้ง
〰️

Q: ทรีตเมนต์เติมโปรตีนและคอลลาเจน เหมือนกับทรีตเมนต์ซ่อมแซมแกนผมไหม?

A: ทรีตเมนต์เติมโปรตีนและคอลลาเจนเป็นการ “เสริมความแข็งแรงและเติมเต็ม” โครงสร้างผม ไม่ใช่การ “ซ่อมแซมพันธะเคมี” เหมือนกลุ่ม Bond-Builders
ดังนั้นทรีตเมนต์เติมโปรตีนและคอลลาเจนจึงเหมาะกับผมที่ขาดโปรตีนและความยืดหยุ่น แต่สำหรับผมที่เสียหายหนักจากการฟอกสี กลุ่ม Bond-Builders จะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดกว่า
〰️

Q: ทำทรีตเมนต์ที่ร้านต่างจากทำเองที่บ้านยังไง?

หลักๆ คือความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์ที่สูงกว่า การใช้อุปกรณ์เสริมที่ช่วยผลักการบำรุง (เช่น เครื่องพ่นนาโน หรือเครื่องอบไอน้ำ) และเทคนิคการลงผลิตภัณฑ์ของผู้เชี่ยวชาญที่ทำให้ได้ผลลัพธ์เต็มประสิทธิภาพสูงสุด
〰️

สนใจจองคิวนัดหมายหรือเข้ามาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่

มามีผมสุขภาพดีไปด้วยกันนะคะ🩵✨


แหล่งอ้างอิง

Share